This is featured post 1 title
Replace these every slider sentences with your featured post descriptions.Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these with your own descriptions.

This is featured post 2 title
Replace these every slider sentences with your featured post descriptions.Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these with your own descriptions.

This is featured post 3 title
Replace these every slider sentences with your featured post descriptions.Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ไอโซพอด
Isopod
ไอโซพอด
ไอโซพอด (Isopod)
เป็นสัตว์จำพวกครัสเตเชียน(จำพวกที่อยู่ในกลุ่มของประเภท
กุ้ง ปู เป็นต้น) กลุ่มที่มีความหลากหลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างมากมายหลายชนิด
พบอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ แต่จะพบได้มากที่สุดในทะเลน้ำตื้น
สัตว์กลุ่มนี้มีความแตกต่างไปจากครัสเตเชียนส่วนใหญ่
เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบกได้ดี และมีชนิดหนึ่งในจำนวนหลายๆชนิดที่ดำรงชีวิตเป็นปรสิตในช่องปากของปลา
รู้จักกันในชื่อว่า "ตัวกัดลิ้น (Tongue biter)" สัตว์ในกลุ่มไอ
โซพอดจัดว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พบฟอสซิลตั้งแต่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส
(จาก 360 ถึง 286 ล้านปีมาแล้ว) ซึ่งแตกต่างเพียงเล็กน้อยไปจากกลุ่ม Phreatoicidean
ยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทางซีกโลกใต้
นอกจากนั้นไอโซพอด แต่ละชนิดมีนิสัยและพฤติกรรมต่างกัน ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้จัก ไอโซพอด
ในรูปแบบของแมลงเช่นจำพวกปลวกที่จะพบได้ในบริเวณชื้นๆที่ค่อยมีแสงเท่าไร แต่ว่า ไอโซพอดหลายชนิดจะอยู่ในทะเลเป็นส่วนใหญ่
บางชนิดจะมีขนาดใหญ่และมีหนาม ชนิดนี้มักจะอยู่ในบริเวณแถบทะเลลึก แต่ไม่ใช่ว่า
ชนิดที่อยู่ในทะเลลึกจะมีขนาดใหญ่หมดทุกตัวทุกชนิดเพราะสภาพแวดล้อมที่มันอยู่จะต้องแก่งแย่งอาหารกับสัตว์ที่มีขานดใหญ่กว่า
และยังมีไอโซพอดบางชนิดที่มักจะอาศัยอยู่บริเวณก้นทะเลและบริเวณที่มีพืชในทะเลอยู่
นั้นแต่ละชนิดจะมีรูปร่างไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่ามันมีบางสิ่งที่คล้ายกัน
(มันเลยเรียกว่า ไอโซพอด)
พวกมันไม่มีเปลือกแข็งหรือกระดองหุ้มตัว
มีหัวขนาดเล็กที่มีหนวด 2
คู่อยู่บริเวณหัว
และมีตา 1 คู่ บริเวณปากของมันจะมี รยางค์ หรือ
แขนส่วบนของมัน เป็นคู่อยู่รยางค์นี้้เราเรียกว่า maxilliped บริเวณขาของมันนั้นจะมีจำนวน 7 คู่ บริเวณนั้น
ในขาข้อแรกจะไม่มีหนามอยู่
ไอโซพอด มีจำนวนเป็น 10,000
สปีชีส์
ทั่วโลก แม้กระทั่งในทะเลทราย ส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยอยู่ในทะเล ชนิดที่อยู่ในทะเลส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตโดยการใช้ส่วนที่เรียกว่า
pleopods ในการแลกเปลี่ยนก๊าซหรือหายใจ สำหรับไอโซพอดที่อยู่บนบกจะมีการพัฒนา
pleopods (พรีโอพอด)
เพื่อรับอากาศเข้าไปแลกเปลี่ยนก๊าซได้ เราจะเรียกว่า pseudotrachea
วงจรชีวิตของแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป
แต่ในโดยส่วนใหญ่จะมีวงจรชีวิตไม่ถึงปี การสืบพันธุ์ของมันจะเกิดขึ้นเมื่อไอโซพอดเพศเมียทำการลอกคราบ
โดยส่วนมากนั้น
ไอโซพอดเพศเมียจะได้รับการคุ้มครองจากไอโซพอดเพศผู้โดยการแบกไอโซพอดเพศเมียไว้จนว่าจะลอกคราบ
ไอโซพอดบางชนิดจะมีการผสมพันธุ์เกิดขึ้นภายในร่างกาย
และบางชนิดจะมีการผสมพันธุ์ภายนอกเช่นปล่อยไข่ไว้ในโพลง ไอโซพอดจะไม่ออกมาเป็นตัวอ่อนเหมือนอย่างพวกปูหรือกุ้ง
แต่จะออกมาในลักษณะของรูปแบบเยาว์วัยเลย ซึ่งเราจะสังเกตุได้จากขนาดของมัน
วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ปลาปักเป้าขน
Hairy puffer
ปลาปักเป้าขน
ปลาปักเป้าขน
(Hairy puffer) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tetraodon baileyi อยู่ในวงศ์ปลาปักเป้าฟันสี่ซี่ เป็นปลาน้ำจืดที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทย มีลักษณะหัวโต ตาเล็กกว่าปลาปักเป้าชนิดอื่นๆ หัวและลำตัวมีติ่งหนังแตกปลายคล้ายๆขนเรียงรายอยู่รอบๆตัว
ซึ่งก็จะเป็นที่มาของชื่อมัน เมื่อติ่งหนังที่คล้ายๆขนนั้นขาดไป
มันก็สามารถที่งอกขึ้นมาใหม่ได้อีก ส่วนใหญ่แล้วจะพบบริเวณแม่น้ำโขงของไทย
หรือบริเวณที่เป็นแก่งหิน ลำตัวจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดงหรือสีกากี
มีจุดประสีจาง ครีบหางสีน้ำตาลอมเหลือง และมีประสีคล้ำ
โดยปลาที่อยู่ตามแก่งน้ำที่ไหลแรงจะมีติ่งหนังมากกว่าที่อยู่น้ำไหลช้า
หรือบางตัวไม่มีเลย แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอาหารที่มันกินไปด้วย มีขนาดลำตัวประมาณ
10
ซม.หรืออาจจะมากกว่านั้นถึง 12 ซม.
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556
หมึกดัมโบ้
Dumbo octopus
หมึกดัมโบ้
หมึกดัมโบ้ เป็นปลาหมึกน้ำลึก พันธุ์ Grimpoteuthis
ที่ถูกเรียกเล่นๆ
ว่า หมึกดัมโบ้ " Dumbo
octopus " เนื่องจากคลีบที่เหมือนใบหู บนหัว (แต่
ความจริง เป็นลำตัวไม่ใช่หัว) ช่างคล้ายกับ
ช้างสีชมพู มีใบหูขนาดใหญ่ ซึ่ง
ทำให้ให้ช้างน้อยตัวนี้ บินได้ จากการ์ตูนดังของ (Walt Disney’s) คลีบใหญ่นี้
มีประโยชน์ในการ ช่วยว่ายน้ำ
เจ้าหมึกตัวนี้จะอยู่ในน้ำที่มีความลึกประมาณ
200-5000 เมตร
แล้วก็มีการค้นพบในระดับความลึกที่
7000 เมตร เมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 20
เซ็นติเมตร พบได้ทุกมหาสมุทร มีร่างกายอ่อนนุ่ม และกึ่งโปล่งใส มีครีบ
ขนาดใหญ่ สองอันบนร่างกาย พังผืดยึดระหว่างหนวด
ตัวผู้จะมีหนวดยาว 2
หนวดเพื่อการผสมพันธุ์
การเคลื่อนที่
โดยใช้ครีบ และขยับหนวด ดันน้ำเข้าสู่ช่องดูดน้ำ เพื่อ
ผลักดันน้ำออกมาเป็นไอพ่น พวกมันสามารถว่ายน้ำลอยขึ้นเหนือท้องทะเลได้
เล็กน้อยเพื่อมองหาเหยื่อ จำพวก หอยทาก หนอน อื่นๆ
วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556
ปูแมงมุมญี่ปุ่น
Giant Spider Crab
ปูแมงมุมญี่ปุ่น
ปูแมงมุมญี่ปุ่น (giant spider crab หรือ stilt
crab) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Macrocheira kaempferi จัดอยู่ในวงศ์
Majidae ปูชนิดนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ทาคาชิกามิ (takaashigami) แปลว่า
ปูขายาว ลักษณะกระดองคล้ายรูปหัวใจกว้าง 30-45 เซนติเมตร
และยาว 25-30 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม ลำตัวมีสีส้ม มีจุดแต้มสีขาว มีขา 8 ขา และก้าม 2 อัน ขายาวเรียวมาก
เวลาแผ่ขากางออกวัดจาปลายตีนข้างหนึ่งไปยังปลายตีนอีกข้างหนึ่งได้กว้างมากถึง 8 เซนติเมตร เวลายกก้ามหนีบขึ้นต่อสู้
ก้ามแต่ละข้างจะอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร
กระดองและขามีลักษณะขรุขระ เป็นปุ่มหนาม ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ที่มหาสมุทรแปซิฟิก
( Pacific Ocean ) ที่ความลึก
300 - 400 เมตร บริเวณรอบๆ
เกาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่มาของชื่อมัน ตั้งแต่เมืองคามาอิชิ (Kamaishi) ในเกาะ
ฮอนชูลงไปทางทิศใต้จนถึงเกาะคิวชิวที่มีพื้นทะเลเป็น ทรายหรือเป็นโคลน เนื่องจากมันทรงตัวได้ไม่ดีนัก จึงต้องอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำนิ่งอาหารของปูแมงมุมญี่ปุ่น ก็จะเป็นพวกซากสัตว์ที่ตาย และพวกสัตว์มีเปลือก เช่น กุ้ง หอยต่างๆ ปูแมงมุมสามารถมีอายุยืนได้ถึง 100 ปี ปูชนิดนี้มีรายงานพบเป็นครั้งแรกในทวีปยุโรป ในหนังสือของ อิงเกลเบิร์ต เคมพ์เฟอร์
(Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ประจำ Dutch East Indian Company ซึ่งได้เดินทางไปยัง
ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2233 ปูชนิดนี้ต่อมาจึงได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามชื่อของ
เคมพ์เฟอร์
ฮอนชูลงไปทางทิศใต้จนถึงเกาะคิวชิวที่มีพื้นทะเลเป็น ทรายหรือเป็นโคลน เนื่องจากมันทรงตัวได้ไม่ดีนัก จึงต้องอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำนิ่งอาหารของปูแมงมุมญี่ปุ่น ก็จะเป็นพวกซากสัตว์ที่ตาย และพวกสัตว์มีเปลือก เช่น กุ้ง หอยต่างๆ ปูแมงมุมสามารถมีอายุยืนได้ถึง 100 ปี ปูชนิดนี้มีรายงานพบเป็นครั้งแรกในทวีปยุโรป ในหนังสือของ อิงเกลเบิร์ต เคมพ์เฟอร์
(Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ประจำ Dutch East Indian Company ซึ่งได้เดินทางไปยัง
ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2233 ปูชนิดนี้ต่อมาจึงได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามชื่อของ
เคมพ์เฟอร์
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556
ฉลามครุย
Frilled shark
ฉลามครุย
ฉลามคครุย (Frilled shark) หรือมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Chlamydoselachus
anguineus ในอยู่ในวงศ์ Chlamydoselachidaeโดยคำว่า anguineus มาจากภาษาลาตินที่มีความหมายว่า เหมือนงู (snakelike) พวกมันเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ฉลามโบราณเดิมเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว
แต่มีรายงานพบในหลายพื้นที่
รวมถึงในเขตน่านน้ำของญี่ปุ่น ทำให้ปลาฉลามครุยกลายเป็น "ซากดึกดำบรรพ์มีชีวิต"
อีกชนิดหนึ่งของโลก
เพราะเชื่อว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเลยมาตั้งแต่ยุคครีเทเชียสจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 ปลาฉลามชนิดนี้ได้สร้างความฮือฮากลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั้งโลก
เมื่อชาวประมงชาวญี่ปุ่นสามารถจับตัวอย่างที่ยังมีชีวิตได้ตัวหนึ่งในเขตน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งใกล้สวนน้ำอะวาชิมา
ในเมืองชิซุโอะกะทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว ซึ่งเชื่อว่าปลาตัวนี้ลอยขึ้นมาเพราะร่างกายอ่อนแอเนื่องจากความร้อนที่ขึ้นสูงของอุณหภูมิของน้ำ
ซึ่งมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานก็ตายไป
ฉลามครุย มีรูปร่างลักษณะที่แปลกประหลาดอย่างมาก ตัวมีสีน้ำตาลเข้มหรือเทา
หัวมีลักษณะคล้ายกิ้งก่า มีจมูกป้านตัด มีปากขนาดใหญ่
มีฟันเรียงเป็นแถวตอนลึกประมาณ 30 ซี่
โดยฟันแต่ละซี่มีลักษณะเป็นสามง่ามเล็ก ๆ จำนวนมาก
ฟันของมันทำหน้าที่เป็นตะขอนับพัน เพื่อใช้เกี่ยวเหยื่อ
ลักษณะเด่นอีกอย่างของฉลามครุยคือ มีแถบเหงือกอยู่ข้างละ 6 ริ้ว โดยเหงือกแต่ละแถบจะปรากฏเป็นฝอย ๆ ยื่นโผล่ออกมาอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะเหงือกแถบหน้าสุดจะเป็นฝอย ๆ ยื่นใหญ่กว่าเหงือกแถบอื่น ๆ จนเหมือน
และเหงือกแต่ละริ้วก็มีลักษณะลึกเข้าไปในลำคอ
จนเหมือนพวกมันถูกแล่ด้วยมีดจนคอเกือบขาด ซึ่งก็เป็นลักษณะตามธรรมชาติของฉลามครุย
ปูเยติ
ปูเยติ
ปูเยติ (yeti crab) มีชื่ออีกชื่อหนึ่งคือ
กีวะ ฮิรซูตะ (kiwa hirsute) เป็นสัตว์น้ำชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึกโดยจะอยู่ก้นมหาสมุทร
และเป็นสัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็งค้นพบในปี
2005 ในทางใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ความยาวซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 15 ซม. หรือประมาณ 5.9 นิ้ว โดยที่ก้ามและขาของมันจะมีขนหนาสีขาวปกคลุม
เหมือนชาวเยติซึ่งเป็นที่มาจากมนุษย์เยติแห่งยอดเขาฮิมาลัย คนจึงเรียกมันว่า yeti crab หรือบางครั้งก็จะเรียกมันว่า lobster
crab มันถูกค้นพบในทะเลลึก
ของมหาสมุทรแปซิฟิก ( South Pacific ) ห่างไปทางใต้ของเกาะอีสเตอร์ 1500 กิโลเมตร
ในน่านน้ำของประเทศชิลี ( Chile )ที่ระดับความลึก 2,200
เมตร (7,200 ฟุต)
จะอาศัยอยู่ตามปล่องไฮโดรเทอมอล ถูกค้นพบในเดือนมีนาคม
2005 โดยกลุ่มของ Robert Vrijenhoek ในสถาบันวิจัย Monterey Bay Aquarium Research Institute และประกาศเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2006 หลังจากการค้นพบหนึ่งปีนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษา ปูเยติ ต่างลงความเห็นว่ายังมี “มีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับ ปูเยติ ที่พวกเรายังไม่เข้าใจมัน”
และหนึ่งในปริศนานั้นก็คือ ขนจำนวนมากที่ปกคลุม ก้าม และขา
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า บนเส้นขนเป็นกับดักแบตเทอร์เลีย ที่ปูเยติใช้หาอาหาร
แต่มีบางคนแย้งว่าเชื้อเหล่านั้นมีหน้าที่เป็นตัวกรองแร่ธาตุึที่มีพิษ
ที่พ่นออกมาจากช่องใต้ทะเล
เยติ หรือ มนุษย์หิมะ ( Yeti, Abominable Snowman) เยติ เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง
ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและธิเบต โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำปกคลุมทั้งลำตัว
โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง
ปล่องไฮโดรเทอร์มอล คือรอยแยกบนเปลือกผิวโลกที่มีน้ำร้อนไหลออกมา
ปรกติจะพบใกล้กับแหล่งภูเขาไฟที่ที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ออกจากกันในแอ่งมหาสมุทรและฮอตสปอต
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556
ปลาแองเกลอ
ปลาแองเกลอ
ปลาแองเกลอ (anglerfish) เป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะที่น่ากลัวมาก
จะอยู่ในทะเลน้ำลึก ลึกมากจนแสงอาทิตย์ไม่สามรถที่จะส่องถึงได้ เป็นปลาที่ อาศัยอยู่ในน้ำลึกมากกว่า
200 เมตร จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จึงได้มีการคาดเดาว่า
ปลาแองเกลอวิวัฒนาการเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 130-100 ล้านปีที่แล้ว
หรือในช่วงกลางของยุค cretaceous
ลักษณะของปลาแองเกลอ
ปลาแองเกลอมีขนาดรูปร่างไม่ใหญ่นัก รูปร่างที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาจะมีขนาดประมาณ
4 ฟุต ร่างเป็นทรงกลม
ปากกว้างและมีฟันจำนวนมาก พวกมันใช้วิธีการ สร้างอวัยวะที่ทำหน้าที่พิเศษขึ้นมา ด้วยการดัดแปลง
ครีบหลังอันแรกเป็นเส้นเนื้อโผล่ขึ้นมาบริเวณหัวดูคล้าย คันเบ็ดตกปลาบนหน้าผาก ปลายเบ็ดมีลักษณะเป็น
กระเปาะเพื่อเก็บแบคทีเรียซึ่งเรืองแสงในที่มืดได้ นั่นคือ แบคทีเรียวิบริโอ ฟิสเชอรี
เจ้ากระเปาะนี้จะมีชื่อว่า esca เมื่อปลาแองเกลอต้องการล่าเหยื่อ มันจะ กระตุ้นให้แบคทีเรียดังกล่าวเกิดการเรืองแสง
พร้อมทั้ง แกว่งกระเปาะไปมา เหมือนเบ็ดตกปลาเพื่อใช้ในการล่อเหยื่อให้มาติดกับดัก เมื่อเหยื่อว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ
ปลาแองเกลอจะกินเหยื่อเป็นอาหารทันที่ ซึ่งพฤติกรรมในการล่าเหยื่อเช่นนี้ เป็นที่มาของชื่อ “Angler” ซึ่ง หมายถึง “ผู้ตกปลา”
ปลาแองเกลอสามารถขยายกรามและกระเพาะของมันได้
เพราะกระดูกของมันมีความยืดหยุ่นสูง
และสามารถกินอาหารที่ใหญ่กว่าตัวมันเป็นเท่าตัว
แต่นั้ไม่ได้แปลกประหลาดเท่ากับการผสมพันธ์ของมัน
การที่นักวิทยาศาสตร์จับมันขึ้นมา สังเกตุเห็นได้ว่าทั้งหมดนั้นจะเป็นตัวเมียหมดเลยและจะมีตัวปรสิตติดอยู่ที่ตัวของมันไม่เกินกว่า
6-7 ตัว แต่ที่ไหนได้
ปรสิตที่ติดอยู่กับตัวมันนั้นก็คือปลาแองเกลอตัวผู้ ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียมาก
ตัวผู้จะเกาะที่ร่างกายของตัวเมียอย่างถาวรโดยการใช้ฟันที่แหลมคม
เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของตัวผู้ก้อจะค่อยๆหลอมเข้าร่างเดียวกันกับตัวเมีย
ระบบหมุนเวียนเลือดก็จะเริ่มต่อกัน
จากนั้นก็จะมีการเสียลูกตาและเครื่องในออกให้หมดเหลือแต่อวัยวะสืบพันธ์
ฉลามเมกาโลดอน
Megalodon
เมกาโลดอน
เมกาโลดอน(megalodon) ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Carcharodon megalodon เมกาโลดอนภาษากรีกจะหมายถึง ฟันใหญ่
เป็นฉลามที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เคยมีมาและเชื่อกันว่าเมกาโลดอนจะมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยุคของ
Miocene และ Pliocene (16 – 1.6 ล้านปีก่อน)
ลักษณะของฉลามเมกาโลดอน
ขนาดของฉลามยักษ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัด
เมื่อค.ศ.1909
American Museum of Nature History จัดทำปากจำลอง
ก่อนคาดว่าฉลามอาจมีความยาวถึง 45 เมตร
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่บอกในภายหลังว่า น่าจะเป็นขนาดที่ใหญ่เกินไป
แต่ยังไม่มีใครสามารถระบุได้แน่ชัด ปัจจุบันมีการคาดว่าขนาดของฉลามเมกาโลดอน อาจมีความยาวประมาณ 20 เมตรหรือยาวกว่านั้น
ฟันของเมกาโลดอน มีความยาวประมาณ 21 เซนติเมตร และมีขนาดกรามใหญ่ถึง 2 เมตร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมกาโลดอนที่ยังอ่อน
จะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล และตัวใหญ่จะออกหากินตามทะเลเปิดและก้นมหาสมุทร
โดยสามารถว่ายน้ำและโจมตีเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน
เมกาโลดอนได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วราว 15 ล้านปีก่อน
แต่ยังเหลือปลาที่มีความใกล้เคียงกันที่สุดก็คือ ฉลามขาว แต่จะเล็กกว่าเมกาโลดอนถึงหลายเท่า
ความใหญ่และน่ากลัวของเมกาโลดอนทำให้มีผู้นำไปสร้างเป็นนวนิยายและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง
เช่น Shark Attack 3: Megalodon ในปี ค.ศ. 2002 หรือนวนิยายเรื่อง เมกาโลดอน
นวนิยายแนววิทยาศาสตร์สยองขวัญ โดย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักเขียนและนักมีนวิทยาชาวไทย
ฉลามชนิดนี้กินวาฬและสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร อาศัยอยู่ทั่วโลก
โดยมีการค้นพบซากฟอสซิลทั้งในยุโรป แอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย
และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซีย) นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเมกาโลดอนสูญพันธุ์เพราะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง วาฬย้ายถิ่นหาอาหาร
จากทะเลเขตร้อนเข้าสู่เขตหนาวใกล้ขั้วโลก ทำให้ฉลามยักษ์ไม่มีอาหารกิน
จากที่ร่ำลือกันว่า
ฉลามเมกาโลดอนนั้นได้สูญพันธ์ไปแล้ว มีรายงานการพบเห็นฉลามขาวยักษ์ในปี
ค.ศ. 1918 โดยชาวประมงที่พบเห็นฉลามตัวนี้ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และได้บอกว่า มันมีความยาวประมาณ 115 ฟุต ซึ่งใหญ่กว่าฉลามขาวและคาดว่าน่าจะไม่ใช่ฉลามขาว
เมื่อไม่นานมานี้
นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ติดตั้งกล้องน้ำลึกเพื่อบันทึกภาพการกินเหยื่อของฉลาม
และพบฉลามตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า
มันคือฉลามชนิดไหน แต่อาจมีความเป็นไปได้ว่า คือ เมกาโลดอน
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556
แมลงสาบมาดากัสการ์
Madagascan giant hissing cockroach
แมลงสาบมาดากัสก้าร์
แมลงสาบยักษ์มาดากัสการ์
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า (Gromphadorhina portentosa) หรือมีชื่อสามัญว่า (Madagascan Giant Hissing Cockroach) ที่มาของชื่อเนื่องจากมันชอบร้องเสียงดังในระหว่างการผสมพันธุ์
และเมื่อมันถูกรบกวน หรือต้องการสื่อสารกับพวกให้รู้ถึงอันตราย เป็นแมลงที่มีถิ่นกำเนิดในเกาะมาดากัสการ์
แถบชายฝั่งของทวีปอัฟริกา มักอาศัยตามพื้นดินตามพืชรกๆในป่า และจะซ่อนตัวอยู่ตามขอนไม้หรือท่อนซุงผุๆหรือตามใบไม้ที่หล่นมาในเวลกลางวัน
จะออกหากินในเวลากลางคืน อย่างไรก็ตามแมลงสาบชนิดนี้ก็เหมือนแมลงสาบทั่วไป
คือ กินอาหารได้เกือบทุกชนิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น เศษใบไม้
และเนื้อผลไม้ที่หล่นตามพื้นที่เป็นอาหาร
ลักษณะของแมลงสาบมาดากัสก้าร์
แมลงสาบมาดากัสการ์เป็นแมลงสาบชนิดหนึ่งที่ไม่มีปีก
ไม่มีแม้แต่แผ่นปีกเล็กปรากฏให้เห็นในระยะใดระยะหนึ่งของชีวิตหลังจากฟักจากไข่
ตัวเต็มวัยมีลำตัวสีน้ำตาลเข้มอมแดง
และมีสีส้มอมเหลืองพาดอยู่ด้านบนของส่วนท้อง
ตัวเต็มวัยมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 7-10 เซนติเมตรหรือ 3-5 นิ้ว และกว้าง 1.5 นิ้ว และมีน้ำหนักตัว 20-25 กรัมโดยประมาณ
วงชีวิตของแมลงสาบมาดากัสการ์
แมลงสาบชนิดนี้จะมีวงชีวิตแบบไม่สมบูรณ์
คือจะมีแค่ 3 ระยะ คือ ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน และระยะตัวเต็มวัย โดยเริ่มจากแมลงสาบตัวเมียเมื่อมีอายุ
6-7 เดือนก็จะผสมพันธุ์กับตัวผู้
หลังจากนั้นตัวเมียก็จะออกลูกเป็นตัวอ่อนจากกระเปาะไข่ที่ฝังอยู่ในตัวแม่ซึ่งจะใช้เวลาเจริญอยู่ในตัวแม่
ประมาณ 60-70 วัน จึงออกมาเป็นตัวอ่อน ครั้งละ 20-40 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว สามารถออกลูกได้ 3-4 ครั้ง/ปี ตัวอ่อนมีรูปร่างลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยแต่ตัวเล็กกว่า
มีขนาดความยาวประมาณ ผ นิ้ว ตัวอ่อนจะมีการเจริญเติบโต และลอกคราบ 6 ครั้ง จึงจะเจริญเป็นตัวเต็มวัย อายุของตัวอ่อน 5-10 เดือน ส่วนตัวเต็มวัย มีอายุ 2-3 ปี จนถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและอาหาร ความแตกต่างของตัวผู้และตัวเมียดูที่อกปล้องแรก
ตัวผู้จะเห็นปุ่มนูน 2 ปุ่มชัดเจน ส่วนตัวเมียจะเห็นเรียบๆ
แต่มีขนาดลำตัวเรียวและใหญ่กว่าตัวผู้
มีลักษณะพิเศษ
คือ ตัวเต็มวัยของและตัวอ่อนในระยะหลังสามารถทำเสียงได้ เสียงนั้นคล้ายเสียงขู่ของงู อันเป็นที่ชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ
อวัยวะที่ให้กำเนิดเสียงของแมลงสาบชนิดนี้อยู่ที่รูหายใจ
ที่อยู่บริเวณด้านข้างของท้องปล้องที่ 4 ทั้งสองข้าง การทำเสียงเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสีก่อนผสมพันธุ์
ตัวผู้จะส่งเสียงขู่เพื่อไล่ตัวผู้อื่น ๆ เพื่อแย่งตัวเมีย นอกจากนี้เสียงขู่ยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรูด้วย
แมลงสาบเป็นแหล่งเพาะพันธ์เชื้อโรค
แมลงสาบนับเป็นแมลงโบราณชนิดหนึ่ง
ที่มีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี ทั้งในด้านการกินอาหารและที่อยู่อาศัย
จึงสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ในโลกนี้มีแมลงสาบมากกว่า 4,000 ชนิด
ทุกสายพันธุ์ถือเป็นตัวนำเชื้อโรคอันตรายมาสู่คน โดยที่เชื้อโรคต่างๆ
จะติดไปตามร่างกายและปากของมัน หากมันเดินผ่านบริเวณใดก็จะทิ้งเชื้อโรคไว้ เช่น
เดินผ่านอาหารที่วางไว้ถ้าใครได้หยิบมากินก็จะได้รับเชื้อโดยตรง
แต่เชื้อโรคที่รับมาจากแมลงสาบนั้น
อาจมีจำนวนไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่อร่างกายได้
นอกจากผู้ได้รับเชื้อจะมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ หรือมีปัจจัยอื่นเสริม
แมลงสาบที่พบทั่วไปในประเทศไทย คือ แมลงสาบอเมริกัน และแมลงสาบเยอรมัน
เป็นแมลงสาบที่เป็นพาหนะนำโรคหลายชนิดมาสู่คน
โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร โรคบิด อาหารเป็นพิษ
ไข้ทัยฟอยด์ กาฬโรค โรคเรื้อน นอกจากนั้นยังเป็นพาหนะนำโรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตชัว
เชื้อรา เชื้อไวรัส หนอนพยาธิ และยังก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้อีกด้วย