วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ปูแมงมุมญี่ปุ่น


Giant Spider Crab

ปูแมงมุมญี่ปุ่น



        ปูแมงมุมญี่ปุ่น (giant spider crab หรือ stilt crab) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Macrocheira  kaempferi จัดอยู่ในวงศ์ Majidae ปูชนิดนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ทาคาชิกามิ (takaashigami) แปลว่า ปูขายาว ลักษณะกระดองคล้ายรูปหัวใจกว้าง 30-45 เซนติเมตร และยาว 25-30 เซนติเมตร  และมีน้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม ลำตัวมีสีส้ม มีจุดแต้มสีขาว มีขา 8 ขา และก้าม 2 อัน ขายาวเรียวมาก เวลาแผ่ขากางออกวัดจาปลายตีนข้างหนึ่งไปยังปลายตีนอีกข้างหนึ่งได้กว้างมากถึง 8 เซนติเมตร เวลายกก้ามหนีบขึ้นต่อสู้ ก้ามแต่ละข้างจะอยู่ห่างกันประมาณ 3 เมตร กระดองและขามีลักษณะขรุขระ เป็นปุ่มหนาม ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ที่มหาสมุทรแปซิฟิก ( Pacific Ocean ) ที่ความลึก 300 - 400 เมตร บริเวณรอบๆ เกาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่มาของชื่อมัน  ตั้งแต่เมืองคามาอิชิ (Kamaishi) ในเกาะ
ฮอนชูลงไปทางทิศใต้จนถึงเกาะคิวชิวที่มีพื้นทะเลเป็น ทรายหรือเป็นโคลน เนื่องจากมันทรงตัวได้ไม่ดีนัก จึงต้องอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำนิ่งอาหารของปูแมงมุมญี่ปุ่น ก็จะเป็นพวกซากสัตว์ที่ตาย และพวกสัตว์มีเปลือก เช่น กุ้ง หอยต่างๆ ปูแมงมุมสามารถมีอายุยืนได้ถึง 100 ปี ปูชนิดนี้มีรายงานพบเป็นครั้งแรกในทวีปยุโรป ในหนังสือของ อิงเกลเบิร์ต เคมพ์เฟอร์ 
(Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ประจำ Dutch East Indian Company ซึ่งได้เดินทางไปยัง
ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2233 ปูชนิดนี้ต่อมาจึงได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามชื่อของ
เคมพ์เฟอร์





วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ฉลามครุย


Frilled shark

ฉลามครุย

        ฉลามคครุย (Frilled shark) หรือมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Chlamydoselachus anguineus ในอยู่ในวงศ์ Chlamydoselachidaeโดยคำว่า anguineus มาจากภาษาลาตินที่มีความหมายว่า เหมือนงู (snakelike) พวกมันเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ฉลามโบราณเดิมเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว  แต่มีรายงานพบในหลายพื้นที่ รวมถึงในเขตน่านน้ำของญี่ปุ่น ทำให้ปลาฉลามครุยกลายเป็น "ซากดึกดำบรรพ์มีชีวิต" อีกชนิดหนึ่งของโลก เพราะเชื่อว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะเลยมาตั้งแต่ยุคครีเทเชียสจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 ปลาฉลามชนิดนี้ได้สร้างความฮือฮากลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั้งโลก เมื่อชาวประมงชาวญี่ปุ่นสามารถจับตัวอย่างที่ยังมีชีวิตได้ตัวหนึ่งในเขตน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งใกล้สวนน้ำอะวาชิมา ในเมืองชิซุโอะกะทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว ซึ่งเชื่อว่าปลาตัวนี้ลอยขึ้นมาเพราะร่างกายอ่อนแอเนื่องจากความร้อนที่ขึ้นสูงของอุณหภูมิของน้ำ ซึ่งมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานก็ตายไป
        ฉลามครุย มีรูปร่างลักษณะที่แปลกประหลาดอย่างมาก ตัวมีสีน้ำตาลเข้มหรือเทา หัวมีลักษณะคล้ายกิ้งก่า มีจมูกป้านตัด มีปากขนาดใหญ่ มีฟันเรียงเป็นแถวตอนลึกประมาณ 30 ซี่ โดยฟันแต่ละซี่มีลักษณะเป็นสามง่ามเล็ก ๆ จำนวนมาก ฟันของมันทำหน้าที่เป็นตะขอนับพัน เพื่อใช้เกี่ยวเหยื่อ
ลักษณะเด่นอีกอย่างของฉลามครุยคือ มีแถบเหงือกอยู่ข้างละ 6 ริ้ว โดยเหงือกแต่ละแถบจะปรากฏเป็นฝอย ๆ ยื่นโผล่ออกมาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเหงือกแถบหน้าสุดจะเป็นฝอย ๆ ยื่นใหญ่กว่าเหงือกแถบอื่น ๆ จนเหมือน และเหงือกแต่ละริ้วก็มีลักษณะลึกเข้าไปในลำคอ จนเหมือนพวกมันถูกแล่ด้วยมีดจนคอเกือบขาด ซึ่งก็เป็นลักษณะตามธรรมชาติของฉลามครุย

        เชื่อว่าปลาฉลามชนิดนี้ กระจายพันธุ์อยู่ในเขตน้ำลึกใกล้นอร์เวย์, แอฟริกาใต้, นิวซีแลนด์และชิลี





ปูเยติ



ปูเยติ

        ปูเยติ (yeti crab) มีชื่ออีกชื่อหนึ่งคือ กีวะ ฮิรซูตะ (kiwa hirsute) เป็นสัตว์น้ำชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึกโดยจะอยู่ก้นมหาสมุทร และเป็นสัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็งค้นพบในปี 2005 ในทางใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ความยาวซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 15 ซม. หรือประมาณ 5.9 นิ้ว โดยที่ก้ามและขาของมันจะมีขนหนาสีขาวปกคลุม เหมือนชาวเยติซึ่งเป็นที่มาจากมนุษย์เยติแห่งยอดเขาฮิมาลัย คนจึงเรียกมันว่า yeti crab หรือบางครั้งก็จะเรียกมันว่า lobster crab มันถูกค้นพบในทะเลลึก ของมหาสมุทรแปซิฟิก ( South Pacific ) ห่างไปทางใต้ของเกาะอีสเตอร์ 1500 กิโลเมตร ในน่านน้ำของประเทศชิลี ( Chile )ที่ระดับความลึก 2,200 เมตร (7,200 ฟุต) จะอาศัยอยู่ตามปล่องไฮโดรเทอมอล ถูกค้นพบในเดือนมีนาคม 2005 โดยกลุ่มของ Robert  Vrijenhoek ในสถาบันวิจัย Monterey Bay Aquarium Research Institute และประกาศเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2006  หลังจากการค้นพบหนึ่งปีนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษา ปูเยติ ต่างลงความเห็นว่ายังมี มีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับ ปูเยติ ที่พวกเรายังไม่เข้าใจมันและหนึ่งในปริศนานั้นก็คือ   ขนจำนวนมากที่ปกคลุม ก้าม และขา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า บนเส้นขนเป็นกับดักแบตเทอร์เลีย ที่ปูเยติใช้หาอาหาร แต่มีบางคนแย้งว่าเชื้อเหล่านั้นมีหน้าที่เป็นตัวกรองแร่ธาตุึที่มีพิษ ที่พ่นออกมาจากช่องใต้ทะเล




เยติ หรือ มนุษย์หิมะ ( Yeti, Abominable Snowman)  เยติ เป็นชื่อที่ใช้เรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ในความเชื่อของชาวเชอร์ปา ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและธิเบต โดยเชื่อว่าเยติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายมนุษย์ผสมกับลิงไม่มีหางคล้าย กอริลลา มีขนยาวสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลดำปกคลุมทั้งลำตัว โดยปรกติแล้ว เยติเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยม แต่อาจดุร้ายโจมตีใส่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ในบางครั้ง


ปล่องไฮโดรเทอร์มอล คือรอยแยกบนเปลือกผิวโลกที่มีน้ำร้อนไหลออกมา ปรกติจะพบใกล้กับแหล่งภูเขาไฟที่ที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ออกจากกันในแอ่งมหาสมุทรและฮอตสปอต




วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

ปลาแองเกลอ



ปลาแองเกลอ

        ปลาแองเกลอ (anglerfish) เป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะที่น่ากลัวมาก จะอยู่ในทะเลน้ำลึก ลึกมากจนแสงอาทิตย์ไม่สามรถที่จะส่องถึงได้ เป็นปลาที่ อาศัยอยู่ในน้ำลึกมากกว่า 200 เมตร จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จึงได้มีการคาดเดาว่า ปลาแองเกลอวิวัฒนาการเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 130-100 ล้านปีที่แล้ว หรือในช่วงกลางของยุค cretaceous
    

    ลักษณะของปลาแองเกลอ

        ปลาแองเกลอมีขนาดรูปร่างไม่ใหญ่นัก รูปร่างที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบมาจะมีขนาดประมาณ 4 ฟุต ร่างเป็นทรงกลม ปากกว้างและมีฟันจำนวนมาก พวกมันใช้วิธีการ สร้างอวัยวะที่ทำหน้าที่พิเศษขึ้นมา ด้วยการดัดแปลง ครีบหลังอันแรกเป็นเส้นเนื้อโผล่ขึ้นมาบริเวณหัวดูคล้าย คันเบ็ดตกปลาบนหน้าผาก ปลายเบ็ดมีลักษณะเป็น กระเปาะเพื่อเก็บแบคทีเรียซึ่งเรืองแสงในที่มืดได้ นั่นคือ แบคทีเรียวิบริโอ ฟิสเชอรี เจ้ากระเปาะนี้จะมีชื่อว่า esca เมื่อปลาแองเกลอต้องการล่าเหยื่อ มันจะ กระตุ้นให้แบคทีเรียดังกล่าวเกิดการเรืองแสง พร้อมทั้ง แกว่งกระเปาะไปมา เหมือนเบ็ดตกปลาเพื่อใช้ในการล่อเหยื่อให้มาติดกับดัก เมื่อเหยื่อว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ ปลาแองเกลอจะกินเหยื่อเป็นอาหารทันที่ ซึ่งพฤติกรรมในการล่าเหยื่อเช่นนี้ เป็นที่มาของชื่อ “Angler” ซึ่ง หมายถึงผู้ตกปลา


        ปลาแองเกลอสามารถขยายกรามและกระเพาะของมันได้ เพราะกระดูกของมันมีความยืดหยุ่นสูง และสามารถกินอาหารที่ใหญ่กว่าตัวมันเป็นเท่าตัว แต่นั้ไม่ได้แปลกประหลาดเท่ากับการผสมพันธ์ของมัน  การที่นักวิทยาศาสตร์จับมันขึ้นมา สังเกตุเห็นได้ว่าทั้งหมดนั้นจะเป็นตัวเมียหมดเลยและจะมีตัวปรสิตติดอยู่ที่ตัวของมันไม่เกินกว่า 6-7 ตัว แต่ที่ไหนได้ ปรสิตที่ติดอยู่กับตัวมันนั้นก็คือปลาแองเกลอตัวผู้ ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียมาก ตัวผู้จะเกาะที่ร่างกายของตัวเมียอย่างถาวรโดยการใช้ฟันที่แหลมคม เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของตัวผู้ก้อจะค่อยๆหลอมเข้าร่างเดียวกันกับตัวเมีย ระบบหมุนเวียนเลือดก็จะเริ่มต่อกัน จากนั้นก็จะมีการเสียลูกตาและเครื่องในออกให้หมดเหลือแต่อวัยวะสืบพันธ์


ฉลามเมกาโลดอน



Megalodon

เมกาโลดอน

        เมกาโลดอน(megalodon) ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Carcharodon megalodon เมกาโลดอนภาษากรีกจะหมายถึง ฟันใหญ่ เป็นฉลามที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เคยมีมาและเชื่อกันว่าเมกาโลดอนจะมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยุคของ  Miocene และ Pliocene (16 – 1.6 ล้านปีก่อน)

     ลักษณะของฉลามเมกาโลดอน

        ขนาดของฉลามยักษ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เมื่อค.ศ.1909 American Museum of Nature History จัดทำปากจำลอง ก่อนคาดว่าฉลามอาจมีความยาวถึง 45 เมตร นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่บอกในภายหลังว่า น่าจะเป็นขนาดที่ใหญ่เกินไป แต่ยังไม่มีใครสามารถระบุได้แน่ชัด ปัจจุบันมีการคาดว่าขนาดของฉลามเมกาโลดอน อาจมีความยาวประมาณ 20 เมตรหรือยาวกว่านั้น ฟันของเมกาโลดอน มีความยาวประมาณ 21 เซนติเมตร และมีขนาดกรามใหญ่ถึง 2 เมตร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมกาโลดอนที่ยังอ่อน จะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเล และตัวใหญ่จะออกหากินตามทะเลเปิดและก้นมหาสมุทร โดยสามารถว่ายน้ำและโจมตีเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว
        ปัจจุบัน เมกาโลดอนได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วราว 15 ล้านปีก่อน แต่ยังเหลือปลาที่มีความใกล้เคียงกันที่สุดก็คือ ฉลามขาว แต่จะเล็กกว่าเมกาโลดอนถึงหลายเท่า ความใหญ่และน่ากลัวของเมกาโลดอนทำให้มีผู้นำไปสร้างเป็นนวนิยายและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง เช่น Shark Attack 3: Megalodon ในปี ค.ศ. 2002 หรือนวนิยายเรื่อง เมกาโลดอน นวนิยายแนววิทยาศาสตร์สยองขวัญ โดย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักเขียนและนักมีนวิทยาชาวไทย
        ฉลามชนิดนี้กินวาฬและสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร อาศัยอยู่ทั่วโลก โดยมีการค้นพบซากฟอสซิลทั้งในยุโรป แอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินโดนีเซีย) นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเมกาโลดอนสูญพันธุ์เพราะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง วาฬย้ายถิ่นหาอาหาร จากทะเลเขตร้อนเข้าสู่เขตหนาวใกล้ขั้วโลก ทำให้ฉลามยักษ์ไม่มีอาหารกิน 


        จากที่ร่ำลือกันว่า ฉลามเมกาโลดอนนั้นได้สูญพันธ์ไปแล้ว มีรายงานการพบเห็นฉลามขาวยักษ์ในปี ค.ศ. 1918 โดยชาวประมงที่พบเห็นฉลามตัวนี้ที่มหาสมุทรแปซิฟิก และได้บอกว่า มันมีความยาวประมาณ 115 ฟุต ซึ่งใหญ่กว่าฉลามขาวและคาดว่าน่าจะไม่ใช่ฉลามขาว  เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ติดตั้งกล้องน้ำลึกเพื่อบันทึกภาพการกินเหยื่อของฉลาม และพบฉลามตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า มันคือฉลามชนิดไหน แต่อาจมีความเป็นไปได้ว่า คือ เมกาโลดอน





วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

แมลงสาบมาดากัสการ์


Madagascan giant hissing cockroach

แมลงสาบมาดากัสก้าร์

          แมลงสาบยักษ์มาดากัสการ์ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า (Gromphadorhina portentosa) หรือมีชื่อสามัญว่า (Madagascan Giant Hissing Cockroach) ที่มาของชื่อเนื่องจากมันชอบร้องเสียงดังในระหว่างการผสมพันธุ์ และเมื่อมันถูกรบกวน หรือต้องการสื่อสารกับพวกให้รู้ถึงอันตราย  เป็นแมลงที่มีถิ่นกำเนิดในเกาะมาดากัสการ์ แถบชายฝั่งของทวีปอัฟริกา มักอาศัยตามพื้นดินตามพืชรกๆในป่า และจะซ่อนตัวอยู่ตามขอนไม้หรือท่อนซุงผุๆหรือตามใบไม้ที่หล่นมาในเวลกลางวัน จะออกหากินในเวลากลางคืน อย่างไรก็ตามแมลงสาบชนิดนี้ก็เหมือนแมลงสาบทั่วไป คือ กินอาหารได้เกือบทุกชนิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น เศษใบไม้ และเนื้อผลไม้ที่หล่นตามพื้นที่เป็นอาหาร

     ลักษณะของแมลงสาบมาดากัสก้าร์
        แมลงสาบมาดากัสการ์เป็นแมลงสาบชนิดหนึ่งที่ไม่มีปีก ไม่มีแม้แต่แผ่นปีกเล็กปรากฏให้เห็นในระยะใดระยะหนึ่งของชีวิตหลังจากฟักจากไข่ ตัวเต็มวัยมีลำตัวสีน้ำตาลเข้มอมแดง และมีสีส้มอมเหลืองพาดอยู่ด้านบนของส่วนท้อง ตัวเต็มวัยมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 7-10 เซนติเมตรหรือ 3-5 นิ้ว และกว้าง 1.5 นิ้ว และมีน้ำหนักตัว 20-25 กรัมโดยประมาณ

     วงชีวิตของแมลงสาบมาดากัสการ์
        แมลงสาบชนิดนี้จะมีวงชีวิตแบบไม่สมบูรณ์ คือจะมีแค่ 3 ระยะ คือ  ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน และระยะตัวเต็มวัย โดยเริ่มจากแมลงสาบตัวเมียเมื่อมีอายุ 6-7 เดือนก็จะผสมพันธุ์กับตัวผู้ หลังจากนั้นตัวเมียก็จะออกลูกเป็นตัวอ่อนจากกระเปาะไข่ที่ฝังอยู่ในตัวแม่ซึ่งจะใช้เวลาเจริญอยู่ในตัวแม่ ประมาณ 60-70 วัน จึงออกมาเป็นตัวอ่อน ครั้งละ 20-40 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว สามารถออกลูกได้ 3-4 ครั้ง/ปี ตัวอ่อนมีรูปร่างลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยแต่ตัวเล็กกว่า มีขนาดความยาวประมาณ ผ นิ้ว ตัวอ่อนจะมีการเจริญเติบโต และลอกคราบ 6 ครั้ง จึงจะเจริญเป็นตัวเต็มวัย อายุของตัวอ่อน 5-10 เดือน ส่วนตัวเต็มวัย มีอายุ 2-3 ปี จนถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและอาหาร ความแตกต่างของตัวผู้และตัวเมียดูที่อกปล้องแรก ตัวผู้จะเห็นปุ่มนูน 2 ปุ่มชัดเจน ส่วนตัวเมียจะเห็นเรียบๆ แต่มีขนาดลำตัวเรียวและใหญ่กว่าตัวผู้
        มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวเต็มวัยของและตัวอ่อนในระยะหลังสามารถทำเสียงได้ เสียงนั้นคล้ายเสียงขู่ของงู อันเป็นที่ชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ อวัยวะที่ให้กำเนิดเสียงของแมลงสาบชนิดนี้อยู่ที่รูหายใจ ที่อยู่บริเวณด้านข้างของท้องปล้องที่ 4 ทั้งสองข้าง การทำเสียงเพื่อใช้ในการเกี้ยวพาราสีก่อนผสมพันธุ์ ตัวผู้จะส่งเสียงขู่เพื่อไล่ตัวผู้อื่น ๆ เพื่อแย่งตัวเมีย นอกจากนี้เสียงขู่ยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรูด้วย

        แมลงสาบเป็นแหล่งเพาะพันธ์เชื้อโรค

         แมลงสาบนับเป็นแมลงโบราณชนิดหนึ่ง ที่มีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี ทั้งในด้านการกินอาหารและที่อยู่อาศัย จึงสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ในโลกนี้มีแมลงสาบมากกว่า 4,000 ชนิด ทุกสายพันธุ์ถือเป็นตัวนำเชื้อโรคอันตรายมาสู่คน โดยที่เชื้อโรคต่างๆ จะติดไปตามร่างกายและปากของมัน หากมันเดินผ่านบริเวณใดก็จะทิ้งเชื้อโรคไว้ เช่น เดินผ่านอาหารที่วางไว้ถ้าใครได้หยิบมากินก็จะได้รับเชื้อโดยตรง แต่เชื้อโรคที่รับมาจากแมลงสาบนั้น อาจมีจำนวนไม่มากพอที่จะก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่อร่างกายได้ นอกจากผู้ได้รับเชื้อจะมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ หรือมีปัจจัยอื่นเสริม แมลงสาบที่พบทั่วไปในประเทศไทย คือ แมลงสาบอเมริกัน และแมลงสาบเยอรมัน เป็นแมลงสาบที่เป็นพาหนะนำโรคหลายชนิดมาสู่คน โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร โรคบิด อาหารเป็นพิษ ไข้ทัยฟอยด์ กาฬโรค โรคเรื้อน นอกจากนั้นยังเป็นพาหนะนำโรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตชัว เชื้อรา เชื้อไวรัส หนอนพยาธิ และยังก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้อีกด้วย


Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Best Hostgator Coupon Code